วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เรื่องของสมเด็จพระเทพฯที่เราอยากรู้ (อ่านไปแอบยิ้มไปก็ได้นะ)

เรื่อง : ผักบุ้งลอยฟ้า (เกี่ยวกับ พระเทพฯ)

ผมเคยไปนั่งทานข้าวต้ม ผักบุ้งลอยฟ้า ที่พิษณุโลก ก็ต้องตะลึง เมื่อเห็นรูป พระองค์ ทรงสนุกกับการถือจานรับผักบุ้ง
บนหลังคารถ เด็กที่ร้านเล่าว่า พระองค์ไม่ถือพระองค์เลย ตรัสล้อเล่นกับเด็กเสิร์ฟด้วย และทรงเสวยกับ ชามข้าวต้มของร้าน
ไม่ได้พิเศษจากลูกค้าคนอื่น ทรงประทับบนเก้าอื้ทั่ว ๆ ไปในร้านนึกถึงพระองค์ทีไร ก็รู้สึกตื้นตันทุกที
เจ้าฟ้าหญิงของประชาชนที่แท้จริงเคยอ่านมาจากหนังสือสกุลไทย ช่วงตอบปัญหาของใครจำไม่ได้แล้ว
มีคนเขียนไปถามเจ้าของคอลัมภ์ว่า จริงหรือเปล่าที่พระองค์เคยเสด็จเป็นการส่วนพระองค์
ยังเมืองทองธานีเพื่อเสวยร้านอาหารโต้รุ่ง เค้าก็เขียนตอบว่า จริง

พระองค์เคยเสด็จอย่างส่วนพระองค์จริง ๆ คือเสด็จไปกับคุณข้าหลวงอีก 2 คนไม่มีองครักษ์ติดตามเลย
เสด็จยังร้านอาหารตามสั่งทั่วไปริมถนน ไม่มีใครจำพระองค์ได้เลยแต่มี 2 สามี ภรรยาคู่หนึ่งเห็นเข้า
ฝ่ายสามีบอกว่า ไม่ใช่สมเด็จพระเทพหรอก เพราะนี่คือร้านอาหารโต้รุ่งแล้วก็ดึกมากแล้วด้วย
แต่ฝ่ายภรรยาบอกว่าเหมือนมาก ก็โต้กันไปโต้กันมาจนพระองค์ทรงได้ยิน
จึงหันพระพักตร์มาทาง2สามีภรรยานี้แล้วตรัสว่า ใช่ แต่ขอให้ทำตัวตามสบาย
เท่านั้นแหละครับ 2 คนนี้ก็ก้มลงกราบจนคนอื่นๆแปลกใจก็หันมามองกันหมดทั้งร้าน

เจ้าของร้านกับเด็กเสริฟก็เพิ่งทราบจึงรีบเข้า ไปถวายความเคารพ
พวกพ่อค้าแม่ค้าแถวนั้นก็นำอาหารของร้านตนมาถวาย
จนกระทั่งเสด็จกลับไปนี่แหละครับ เจ้าหญิงในใจประชาชนพระองค์จริง

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ
........................................
บ่ายวันอาทิตย์วันหนึ่ง สมเด็จพระเทพรัตน์ฯ เสด็จไปทรงซื้อหนังสือที่ร้านในห้าง ดิ เอ็ม โพเรียม โดยทรงพระดำเนินจากวังสระปทุม เพื่อมาขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานีสยามไปลงที่เอ็มโพเรียม โดยทรงกดตู้ซื้อบัตรอัตโนมัติเหมือนผู้โดยสารทั่วไป มีผู้เสด็จตามเป็นผู้หญิงสองคนเท่านั้น

ไม่มีการกันคน ไม่มีการห้ามใคร ไม่มีการปิดขบวนอะไรทั้งสิ้น เมื่อเสด็จขึ้นรถไฟฟ้าแล้ว แต่ปรากฏว่ารถขบวนนั้นที่นั่งเต็ม พระองค์ท่านก็ทรงยืนเกาะราวรถไฟฟ้าเหมือนสามัญชนทั่วไป จนกระทั่งมีผู้โดยสารจำพระองค์ท่านได้ ก็ลุกขึ้นยืนเพื่อให้ทรงนั่ง พระองค์แย้มพระสรวลและรับสั่งขอบใจก่อนทรงนั่งที่ของคนนั้น

คนนั้นก็นั่งลง(กับพื้น) พอมีคนเห็นคนนั่งลงกับพื้น ทุกคนในรถไฟฟ้าจึงรู้ว่าพระองค์เสด็จ จึงนั่งกันหมด ขนาดเด็กวัยรุ่นที่แต่งตัวกางเกงจะหลุดก้นพอเห็นพระองค์ก็นั่งยองๆ กับพื้นแล้วยกมือไหว้กันทุกคนไป เป็นที่ปลาบปลื้มของผู้ที่อยู่ในรถไฟฟ้าตู้นั้นมาก ทรงแย้มพระสรวล...ตลอดเวลา

เมื่อทรงซื้อหนังสือเสร็จก็เสด็จพระราชดำเนินกลับด้วยรถไฟฟ้าลงสถานนีสยามแล้วทรงพระดำเนินกลับวังสระปทุม

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ
........................................
(เป็นเรื่องที่ส่งๆ ต่อๆ กันมาทางเมลล์ครับ)

คิดว่ายังไม่ค่อยมีคนได้เห็น

เคยมีเรื่องเล่าว่า
มีเด็กคนหนึ่งรับของแจกมา
วิ่งกลับมาหาแม่ แม่ถามว่า " เอามาจากไหน ใครให้ "
เด็กก็ชี้มาที่ พระเทพ แล้วบอกว่า " ป้าคนนั้นให้มา "


ท่านยังทรง พูดเล่น ขึ้นมาว่า เราเป็นป้าแล้ว แล้วก็ทรงหัวเราะ
(ไม่รู้คำราชาศัพท์)

ในสายตา ทรงงดงามมาก.....

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ
........................................
พระอารมณ์ขันของสมเด็จพระเทพฯ

โดย ... วิลาศ  มณีวัต
เข้าจุฬาฯ ชั่วโมงแรกก็เจอดี
นิสิตจุฬาฯ ตื่นเต้นกันทุกคน  เมื่อทราบข่าวที่ค่อนข้างแน่นอนว่า
สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์นี้จะทรงสอบเข้าจุฬาฯ  เพื่อจะทรงศึกษาในคณะอักษรศาสตร์

ไม่เฉพาะแต่ที่ตึกอักษรศาสตร์เท่านั้น ทางคณะวิทยาศาสตร์  คณะวิศวกรรมศาสตร์
คณะบัญชี  ตลอดจนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์  ต่างก็คอยเฝ้าดูเหตุการณ์ว่าสมเด็จเจ้าฟ้า
พระองค์นี้จะทรงวางพระองค์อย่างไรกับอาจารย์และกับเพื่อนนิสิตด้วยกัน
ข้อสำคัญใครจะกล้าเข้าใกล้พระองค์ท่าน  บางคนถึงกับลงทุนซักซ้อมการเพ็ดทูล
แบบราชาศัพท์กันระหว่างเพื่อนฝูง

และแล้ววันแรกในชีวิตนิสิตหญิง  ซึ่งเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์แรกของจุฬาฯ ก็มาถึง

อาจารย์ในคณะอักษรศาสตร์ก็ตื่นเต้น
แต่ในวันแรกของการเปิดเทอมแรกของปีใหม่
ทุกอย่างและทุกคนดูจะวุ่นวายชุลมุนกันไปหมด
โดยเฉพาะนิสิตปีที่ ๑  ห้องเรียนอยู่ที่ไหนก็ยังไม่ทราบ
สอบถามกันให้วุ่นวาย

วิชาแรกในวันนั้นของนิสิตอักษรศาสตร์ปีที่ ๑  คือวิชาวรรณคดีละครพูด
ซึ่งจะต้องเข้าเรียนรวมกันทั้งชั้นในห้องใหญ่ ... ใหญ่จริง ๆ
นักเรียนปีหนึ่งแม้ว่าจะมาจากโรงเรียนต่าง ๆ  ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
แต่ก็จับกลุ่มกันเฉพาะที่มาจากโรงเรียนเดียวกัน  ก็เลยคุยแข่งกันเป็นกลุ่ม ๆ
เสียขรมแซดไปหมด  อาจารย์ศักกดิ์ศรี  แย้มนัดดา
อาจารย์ผู้สอนเข้ามาในห้องแล้ว  นิสิตใหม่ก็ยังไม่รู้จักเกรงใจ

ท่านอาจารย์ต้องนั่งรออยู่เป็นเวลาถึงห้านาที  เพื่อจะให้เงียบ
แต่ก็เปล่า ... ไม่ได้ผล ... ไม่มีทีท่าว่าจะเงียบ

อาจารย์ศักดิ์ศรีจึงตัดสินใจว่า  จะต้องเทศนาสั่งสอนอบรมเรื่องระเบียบ
วินัยกันเสียแล้ว  เรื่องเรียนอย่าเพิ่งเลยเพราะนิสิตยังขาดสมาธิ
สอนไปก็จับอะไรไม่ได้

อาจารย์เลยเทศน์เสียเกือบครี่งชั่วโมง
แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า  เอ๊ะ  สมเด็จเจ้าฟ้าก็ต้องอยู่ในกลุ่มนี้
ในห้องนี้แน่  พยายามกวาดสายตาดูก็ไม่เห็นเพราะมีนักเรียนมากมาย
นั่งหน้าสลอนไปหมด  จนจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร

พวกนิสิตใหม่ตกใจ  ที่อาจารย์ไม่ยอมสอนในชั่วโมงแรก  เอาแต่อบรมเรื่อง
ระเบียบวินัย  ต่างซุบซิบกันว่าอาจารย์คนนี้ดุจังเลย

สำหรับทูลกระหม่อมนั่นทรงตกพระทัย  เพราะตอนอยู่ที่โรงเรียนจิตรลดา
ไม่เจอะเจออาจารย์ดุแบบนี้

ทรงบ่นกับพระสหายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ว่า
"พอเข้าชั่วโมงแรกก็เจอดีเลยทีเดียว"
แต่ไม่ทรงขุ่นเคืองพระทัย  ทรงเห็นว่าการรักษาระเบียบวินัยในห้องเรียน
เป็นสิ่งจำเป็น  แม้นักเรียนจะเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ไม่ควรละทิ้งระเบียบเช่นนี้

พระอาจารย์ศักดิ์ศรี  แย้มนัดดากล่าวถึงทูลกระหม่อมว่า  ทรงเป็นผู้เพียรกล้า
ในการแสวงหาวิชาความรู้  ทรงตักตวงอย่างไม่รู้จักอิ่ม  ลำพังการเรียน
เฉพาะชัวโมงที่ลงทะเบียนไว้ก็กินเวลาสัปดาห์ละไม่น้อยอยู่แล้ว
และยังจะมีงานที่จะต้องทำมาส่งอาจารย์อีก  เพื่อน ๆ บ่นกันว่าปีแรกนี้เรียนหนัก
เรียนไม่ค่อยรู้เรื่องบ้าง  เซ็งบ้าง  ตามแต่จะบ่นกันไปกระปอดประแปด
แต่ทูลกระหม่อมไม่ทรงบ่นเลย  มีแต่จะคิดเรียนโน่นเรียนนี่เพิ่มเติมอยู่เสมอ
อย่างไม่ทรงรู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย  ทรงสนุกกับการเรียน  เรียนวิชาปีหนึ่งแล้ว
พอว่างก็แอบไปเข้าห้องเรียนชั้นปริญญาโทขอฟังกับเขาด้วย
เพราะทางมหาวิทยาลัยไม่ห้ามพวกปริญญาตรีจะเข้าฟังของพวกปริญญาโท
ก็ไม่มีกฎห้ามแต่อย่างใด  แต่อาจารย์ศักดิ์ศรีบอกว่า  สามสิบปีทีสอนมา
ไม่เคยมีนักศึกษาปริญญาตรีเข้ามาแอบฟังการสอนชั้นปริญญาโทเลย
เพิ่งมีคราวนี้แหละ  จึงเป็นที่กล่าวขวัญถึงกันมากในหมู่คณาจารย์

แต่ในหมู่นิสิตคณะอื่นนั้น  โจษขานกันแต่ว่ามีบุญตาได้เห็นทูลกระหม่อม
แล้วหรือยัง  จนมีนิสิตช่างสังเกตแนะให้ว่า  "คนไหนไว้เปียยาวก็คนนั้นแหละ"
...........................

คราวหนึ่ง  ในการเสด็จเยี่ยมราษฎรทางภาคเหนือ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  ได้ทรงแวะประทับ
ค้างคืนที่หน่วยราชการแห่งหนึ่ง  ซึ่งทรงคุ้นเคยกับบรรดาพนักงานเจ้าหน้าที่
เพราะได้เคยเสด็จไปประทับที่นั่นมาสามสี่ครั้งแล้ว

คราวนี้ทางหน่วยราชการมีเวลาเตรียมตัวรับเสด็จค่อนข้างนาน
จึงเตรียมต้นไม้ไว้ให้ทรงปลูก  อันเป็นประเพณีที่นิยมปฏิบัติกัน
ทั้งในต่างประเทศและในประเทศไทย  เท่ากับเป็นการเน้นให้
ประชาชนได้รู้สึกถึงคุณค่าของต้นไม้
ต้นไม้ที่หน่วยราชการแห่งนั้นเตรียมไว้ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงปลูก  ได้แก่  ต้นมะขามหวานเพชรบูรณ์  ซึ่งยกย่องกันว่าเป็นพันธุ์มะขามหวาน
รสดีที่สุดและราคาแพงที่สุด

ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งกับท่านผู้อำนวยการหน่วยงานแห่งนั้นว่า
"ให้ปลูกมะขามหรือ ... นี่คงจะเห็นฉันตัวโค้ง ๆ งอ ๆ เหมือนมะขามหรือไง?"

ท่านผู้อำนวยการถึงกับสั่น  ครั้นกุมสติได้  จึงกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า
"พระราชอาญาไม่พ้นเกล้าฯ  มะขามนั้นเป็นไม้ใหญ่ที่แข็งแรงคงทน
อายุยืนมาก  ก็ประสงค์ว่า  อยากจะเห็นใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
ทรงพระเจริญมีพระชนมายุยืนนาน  เป็นที่พึ่งแก่ปวงข้าพระพุทธเจ้า
และราษฎรชาวบ้านให้นานแสนนานพะย่ะค่ะ"
ถึงวาระสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ   สยามบรมราชกุมารี
จะทรงปลูกบ้าง  ต้นไม้ที่หน่วยราชการแห่งนั้นจัดเตรียมไว้คือ  ต้นส้มโอ
สมเด็จพระเทพฯ รับสั่งด้วยพระพักต์ยิ้มแย้มสดชื่นว่า
"นี่คงจะเห็นฉันอ้วนตุ๊สมเป็นส้มโอล่ะซี ..."

ท่านผู้อำนวยการหน้าซีด  นึกเคืองอยู่เหมือนกันที่ลูกน้องฝ่ายจัดหา
ช่างกระไรไปเลือกเอาส้มโอมา  นิ่งคิดหาทางออกอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วกลั้นใจรีบกราบบังคมทูลว่า
"พระราชอาญาไม่พ้นเกล้าฯ  ที่น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมให้ทรงปลูกส้มโอ
ก็เพราะชาวบ้านอำเภอนี้ถือว่าส้มโอ คือ บ่อเงินบ่อทองพะย่ะค่ะ ...
ปี ๆ หนึ่งทำเงินเป็นสิบ ๆ ล้าน  ขึ้นชื่อว่าส้มโอ  จังหวัดไหน ๆ
ก็สู้ของที่นี่ไม่ได้  เป็นสมบัติอันล้ำค่ำทางการเกษตรพะย่ะค่ะ ...
ก็อยากจะให้พระบารมีคุ้มเกล้าฯ  อย่าให้ส้มโอที่อื่นมาแย่งเอาตำแหน่ง
ยอดส้มโอไปจากที่นี่พะย่ะค่ะ"
รับสั่งต่อด้วยพระอารมณ์ขันว่า
"รับรองต้องตุ้มต๊ะตุ้มตุ้ยเหมือนคนปลูก"

พระดำรัสประโยคนั้นรู้กันไปทั่วทั้งจังหวัด  คุณลุงคุณป้าคุณย่าคุณยาย
น้ำหูน้ำตาไหล  ปีติปลาบปลื้มว่าทรงเป็นกันเองกับชาวบ้านจริง ๆ
ไม่ถือพระองค์เลย  และทรงมีพระอารมณ์ขันอย่างนึกไม่ถึง
ยังเล่าขานกันต่อมาอีกหลายปี  เพราะเมื่อใครไปเห็นต้นส้มโอนั้น
เจ้าหน้าที่ผู้รักษาดูแล  ก็จะเล่าให้ฟังด้วยความชื่นชมโสมนัส
และซาบซึ้งในพระเมตตาคุณของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารีอย่างไม่เสื่อมคลาย
...............................

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ  สยามบรมราชกุมารี
ทรง "กล้าสู้"  ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าอาจารย์ศักดิ์ศรีเข้มงวดและดุ  เมื่อมีการแบ่ง
กลุ่มย่อยฝึกเขียนภาษาไทยออกเป็นสิบกลุ่ม  พระสหายหลายคนบอกว่า
"ไปอยู่กลุ่มอื่นดีกว่า  กลุ่มอาจารย์ศักดิ์ศรีดุจะแย่"  แต่ทูลกระหม่อมกลับ
เลือกเข้ากลุ่มอาจารย์ยอดดุ  ทรงพอพระทัยที่จะอยู่ในกลุ่มอาจารย์ดุและเข้มงวด
เพราะทรงเชื่อว่าอาจารย์คงจะกวดขันการเรียนภาษาไทยของพระองค์ท่าน
ได้ดีกว่ากลุ่มอื่น ๆ

นักเรียนกลุ่มนี้ถ้าเขียนภาษไทยไม่เข้าท่า  ผิดสำนวนผิดความหมาย
ผิดตัวสะกด  ก็ต้องโดน "ขึ้นกระดาน" กันเป็นประจำ  อาจารย์จะแจงสี่เบี้ย
ว่าผิดตรงไหน  ควรแก้ไขอย่างไรให้เป็นภาษาไทยที่ดี  บางคนถูก
"ขึ้นกระดาน" บ่อย ๆ เข้าก็รู้สึกอาย  แอบบ่นว่า "เข้ากรุ๊ปผิดเสียแล้วเรา"
แต่ทูลกระหม่อมไม่เคยทรงบ่นเลย  ทรงอดทนแบบถึงไหนถึงกัน
ไม่ยอมแพ้  จนในที่สุดในตอนสอบก็ทรงผ่านไปได้ด้วยคะแนนยอดเยี่ยม

เวลาสอบ  โปรดใช้ปากกาเส้นใหญ่  ถ้าเขียนผิดจะทรงใช้ยางลบ
ลบแล้วลบอีก  แต่พอเห็นใกล้จะหมดเวลาจะต้องส่งกระดาษคำตอบแล้ว
ก็จะเลิกใช้ยางลบ  แต่ใช้ปากกาขีดฆ่า  แล้วเขียนคำใหม่ลงไปเลย
ทรงตรวจทานกระดาษคำตอบอย่างพระทัยเย็น  และก็ไปส่งตอนกระดิ่ง
หมดเวลาทุกครั้ง  ไม่เคยรีบส่งก่อนจะหมดเวลาเลย

ในการวางพระองค์กับอาจารย์นั้น  จะทรงทำความเคารพครูบาอาจารย์ก่อนเสมอ
อาจารย์ ดร. ศักดิ์ศรี  แย้มนัดดา  เขียนเล่าไว้ว่า  ท่านเคยเดินขึ้นบันได
ห้องโถงตึกอักษรศาสตร์ ๑  ขึ้นไปชั้นบน  ผมนึกภาพนี้ออก
เพราะตอนผมเรียนบัญชีจุฬาฯ  ก็เรียนที่ตึกนี้  เดินขึ้นเดินลงบันไดวันละหลายหน
ท่านอาจารย์ศักดิ์ศรีมัวแต่ตามองดูขั้นบันไดทีละขั้น  กลัวจะสะดุดหกล้ม
ได้ยินเสียงนิสิตหญิงพูดดัง ๆ ว่า
"สวัสดีค่ะ .. อาจารย์"  แล้วก็เดินสวนทางลงไป
ท่านอาจารย์ก็ตอบโต้โดยมิได้เงยหน้าขึ้นดู
"ฮื่อ ... สวัสดีจ้ะ"
แต่พอเหลียวกลับไปดูว่าใครเป็นคนทักเมื่อตะกี้นี้ก็ใจหายวาบ
เพราะผู้ที่เดินอมยิ้มลงบันไดไปนั้น  ก็คือ ... สมเด็จเจ้าฟ้าสิรินธร

อาจารย์ศักดิ์ศรี  แย้มนัดดา เล่าว่า  โดนเข้าแบบนี้อีก ๒-๓ ครั้ง
ตอนขึ้นบันไดเหมือนครั้งแรกไม่มีผิด

เลยทำให้ทูลกระหม่อมทรงสนิทสนมกับอาจารย์ผู้นี้มาก
คราวหนึ่งเสด็จกลับจากอีสาน  ทรงเข้าห้องช้ากว่าเพื่อน
ก็ต้องเข้าไปประทับนั่งแถวหน้าสุด  ทรงค้นกระเป๋าใบใหม่อยู่ครู่หนึ่ง
แล้วก็หยิบห่อของยู่ยี่ห่อหนึ่งส่งให้อาจารย์  พร้อมกับตรัสว่า
"ของฝากจากอีสานค่ะ"

ของฝากนั้นคือ  ขนมตุ้บตั้บ  อันมีชื่อเสียงของอีสาน  ซึ่งทรงซื้อมาจากอุดร
ทำเอาอาจารย์ศักดิ์ศรีตื้นตันใจเป็นล้นพ้น  น้ำพระทัยนี้จะตรึงตราอยู่ในใจ
อาจารย์ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
.............................
อัจฉริยะในเชิงสร้างสรรค์
ศิลปะเริ่มฉายแสง

โดย  วิลาศ  มณีวัต
ความเป็นอัจฉริยะของมนุษย์เรา  เป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อม
หรือกรรมพันธุ์  ได้เป็นที่ถกเถียงกันในหมู่ปราชญ์มาช้านาน
สำหรับผู้เขียนเองเชื่อว่า  สิ่งแวดล้อมและการอบรมในวัยเด็ก
ย่อมจะมีส่วนมีอิทธิพลอยู่บ้าง  แต่กรรมพันธุ์หรือความสืบเนื่องทางสายเลือด
จากบุพการีนั้นสามารถที่จะส่งผลรุนแรง  สืบทอดมาถึงบุตรได้
ดังมีตัวอย่างให้เห็นอยู่บ่อย ๆ

บิดาของจอห์น  ฮุสตัน  เป็นนักแสดงระดับศิลปินก็สืบทอดมาถึงจอห์น  ฮุสตัน ได้
ทำให้เขามีความรัก  ลุ่มหลงโลกของการแสดงมาแต่เด็ก  จนเขาได้เป็นผู้กำกับ
มือหนึ่ง  ได้รับรางวัลตุ๊กตาทองจากฮอลลีวูด  และแล้วจอห์น  ฮุสตัน ก็สืบทอด
ความเก่งฉกาจอันนั้นต่อมายังลูกสาวของเขา  คือ อันเจลิกา  ได้สำเร็จอีกเหมือนกัน
ซึ่งเธอก็ได้พิสูจน์ความสามารถในการแสดง  ได้รับรางวัลตุ๊กตาทองทันให้บิดาได้
เห็นและชื่นใจ

ในบางกรณี  การสืบทอดอัจฉริยะทางสายเลือดอาจกระโดดข้ามตอนไปบ้าง
ชั้นลูกยังมาไม่ถึง  แต่ไปสืบต่อถึงเอาในชั้นหลาน  ดังในกรณีของปราชญ์เบอร์ทรันด์  รัสเซลส์
ปู่ของเขาเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษผู้ปราดเปรื่อง  ชั้นลูกยังไม่แสดงความเป็นอัจฉริยะ
ให้ปรากฎ  แต่พอถึงชั้นหลาน คือ เบอร์ทรันด์  รัสเซลส์  ความเป็นอัจฉริยะยอดคน
ก็สำแดงเด่นชัดขึ้นมา  เขาเป็นนักคิดที่เด่นที่สุดแห่งยุค  มีแนวคิดอิสระ
และเป็นไปเพื่อสันติภาพและความอยู่รอดของมนุษยชาติ  มิไยสังคมที่เน่าเฟะ
ทั้งในอังกฤษและอเมริกา จะพยายามต่อต้านและบีบกดรังแก  โดยเอาตัวเบอร์ทรันด์  รัสเซลส์
ไปเข้าคุกถึงสองครั้ง  แต่เขาก็ดันทะลุฟันฝ่าออกมาได้ด้วยความเป็นอัจฉริยะ
จนได้รับรางวัลโนเบลไปทางด้านวรรณคดี
ความเป็นอัจฉริยะของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ได้ฉายแสงออกมาเป็นครั้งแรกในระหว่างที่ยังทรงศึกษาอยู่ในโรงเรียนจิตรลดา
ด้วยการเริ่มแต่งเพลงชื่อ  สัมตำ  ซึ่งคนธรรมดา  สติปัญญาธรรมดา
อายุเพียงเท่านั้นย่อมจะแต่งไม่ได้  การที่จะสามารถแต่เพลงขนาดนั้นได้
จะต้องมีองค์ประกอบเข้มข้นสองอย่าง คือ ต้องมีอารมณ์ขันอย่างเอกอุ
แทนที่จะทรงคิดแต่งเพลงดวงจันทร์ หรือ วันฟ้าสวย  กลับทรงคิดเอา "ส้มตำ"
มาแต่ง  แสดงถึงพระราชหฤทัยที่รักสามัญชน  ต่อไปภายหน้าจะเป็นที่รักของ
ชาวบ้านทั่วประเทศ  และองค์ประกอบข้อสอง  ก็คือ  การที่จะ "ปรุง" ส้มตำ
ให้เป็นเพลงขึ้นมาได้นั้น  จะต้องมีแววอัจฉริยะทางดนตรีอย่างพิเศษอยู่ในสายเลือด
คือ สืบทอดความเป็นศิลปินนักแต่งเพลงมาจากทูลกระหม่อมพ่อนั่นเอง

อารมณ์ขันนั้นย่อมเกิดจากการคิด  การมองที่ละเอียดกว่าคนอื่น ๆ
เป็นที่ทราบกันในหมู่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ว่า  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงมีพระราชอารมณ์ขันอย่างเยี่ยม  ทรงมองบุคคลและเหตุการณ์อย่างละเอียด
ทะลุปรุโปร่ง  และด้วยพระเมตตา  จึงได้ทรงอบรมให้พระราชโอรสและพระราชธิดา
รู้จักใช้ความสังเกตอย่างละเอียดลออมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์  แม้กระทั่งเวลากลางคืน
ก็ยังทรงสอนให้รู้จักสังเกตดวงดาวบนท้องฟ้า
ทางด้านสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ  จะทรงดูแลวางพื้นฐาน
วัฒนธรรมไทยให้  โดยให้ทูลกระหม่อมอ่านวรรณคดี  ยืนโรงอยู่สามเรื่อง
คือ พระอภัยมณี  อิเหนา  และรามเกียรติ์  โดยเฉพาะเรื่องอิเหนานั้น
รับสั่งว่าคำกลอนไพเราะ  ให้ลูกท่องให้ขึ้นใจ เช่น  "ว่าพลางทางชมคณานก
โผผกจับไม้อึงมี่"  เนื่องจากได้ทรงอ่านกลอนเพราะ ๆ มาแต่เด็กนี่เอง
ทูลกระหม่อมจึงชอบเรียนวรรณคดีไทยและชอบแต่งกลอน

เด็ก ๆ ทุกคนย่อมชอบฟังนิทาน  การเล่านิทานให้ลูกฟังเป็นวิธีการอบรมปลูกฝัง
นิสัยที่ดีอย่างหนึ่ง  ทุกชาติจึงต้องมีหนังสือนิทานสำหรับเด็ก  เพื่อให้เด็กสนุกสนาน
เพลิดเพลินและรับเอาคติธรรม  เรื่องความสุจริต  การทำดีได้ดี  การช่วยเหลือเผื่อแผ่
แก่คนอื่น ๆ  ให้ค่อย ๆ ซึมเข้าไปในความนึกคิดที่รวมกันขึ้นมาเป็นอุปนิสัย
และบุคลิกภาพ  สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงตระหนักถึงความสำคัญ
ของนิทาน  จึงทรงเลือกนิทานสนุก ๆ จากหนังสือมาเล่าให้ฟัง  บางครั้งก็เป็น
นิทานชาดกในพุทธศาสนา  บางทีก็ทรงเล่าเรื่องจากประวัติศาสตร์
ประวัติบุคคลสำคัญและความรู้รอบตัวอื่น ๆ  และเพื่อให้สนุกยิ่งขึ้น
เมื่อจบรายการแล้วก็จะทรงทบทวนโดยให้มีการตอบปัญหา
ถ้าตอบถูกก็จะมีรางวัลให้หนึ่งบาท  อันการเล่านิทานของสมเด็จแม่นั้น
ทรงมีศิลปะปรุงแต่งให้มีรสชาติตื่นเต้น  โดยการเน้น  ระบายสี
หยิบยกเอาประเด็นที่น่าสนใจขึ้นมาเล่าถึงขนาดที่ว่า "ทูลกระหม่อมพ่อยังโปรดฟัง"

และมีการแถมท้ายให้ตื่นเต้นด้วยการทรงเล่าเรื่องผีซึ่งสมเด็จพระเทพฯ ได้ทรงวิจารณ์ว่า
"แต่ก่อนนี้พี่เลี้ยงไม่ยอมเล่าเรื่องผี  พอไปโรงเรียนเพื่อน ๆ ก็มาหลอก
สมเด็จแม่ท่านว่า  ถ้ามานั่งอธิบายว่าผีไม่มี จ้างก็ไม่เชื่อ  ท่านจึงสำทับโดยการ
เล่าเรื่องผีที่น่ากลัวกว่าให้เข็ด"
อีกข้อหนึ่งที่สมเด็จแม่ทรงดูแลมากก็คือ  ด้านพลานามัยและมารยาทการนั่งโต๊ะ
สำหรับพลานามัยหรือการออกกำลังกายนั้น  จะทรงมอบหมายให้ทูลกระหม่อมดูแลสนาม
ถอนหญ้าแห้วหมูและคอยตัดต้นข่อยที่ดัดเป็นรูปต่าง ๆ  พอตกค่ำ ขึ้นมาเสวย
ก็เป็นเวลาที่จะทรงอบรมในเรื่องการนั่งโต๊ะอาหารแบบฝรั่ง

ด้วยการอบรมที่ดีพร้อมทุกด้านดังกล่าวนี้  เมื่อถึงวาระที่ทูลกระหม่อมจะทรงเข้าศึกษาที่
รร. จิตรลดา  จึงตั้งต้นเรียนได้ดีและก้าวหน้าในการศึกษาไปได้อย่างรวดเร็ว
เพราะมีพื้นฐานดีอยู่แล้ว

ขณะที่ทรงศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมต้นที่ รร. จิตรลดานี่เอง  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
จะเสด็จพระราชดำเนินทรงดนตรีที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ  ประสานมิตร
ขณะกำลังเตรียมรายการเพลง  ทูลกระหม่อมก็ทรงบ่นขึ้นว่า
"จะร้องเพลงอะไรก็มีคนจองไว้แล้วทั้งนั้น... ถ้าจะต้องแต่งเพลงเสียเอง"

ข้อความนี้ถึงพระเนตรพระกรรณ  ก็ได้มีพระราชกระแสลงมาว่า  ให้ทูลกระหม่อมแต่งเพลง
สำหรับร้องเองเพลงหนึ่ง  ระหว่างนั้นเมื่อทรงว่างจากการท่องตำราเรียน
ก็โปรดการเข้าครัว  ทำอาหารเป็นงานอดิเรก  และอาหารจานโปรดก็คือส้มตำ
เพราะทำได้ง่าย ๆ  เครื่องปรุงไม่มีอะไรพิสดารมากนัก  แต่รสแซบดี

จึงได้ทรงเกิดความคิด  นำเอาตำราทำส้มตำมาเรียงร้อยให้คล้องจองกัน
คงจะแบบเดียวกับสุนทรภู่เคยเอารายชื่ออาหารมาเรียงร้อยให้ไพเราะคล้องจองกันว่า
"อิมัสมิงริมฝั่ง
อิมังปลาร้า
กุ้งแห้งแตงกวา
อีกปลาดุกย่าง
ช่อมะกอก  ดอกมะปราง
เนื้อย่าง  ยำมะดัน
ข้าวสุกค่อนขัน  น้ำมันขวดหนึ่ง
น้ำผึ้งครึ่งโถ  ส้มโอแช่อิ่ม
ทับทิมสองผล
เป็นยอดกุศล  สังฆัสสะเทมิฯ"
ส่วนเพลงชาวบ้านชื่อ "ส้มตำ" ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี  มีเนื้อร้องว่าดังนี้

"ต่อไปนี้จะเล่า         ถึงอาหารอร่อย
คือสัมตำกินบ่อย       รสชาติแซบจัง
วิธีการก็ง่าย             จะกล่าวได้ดังนี้
มันเป็นวิธี                วิเศษเหลือหลาย

ไปซื้อมะละกอ           ขนาดพอเหมาะเหมาะ
สับสับเฉาะเฉาะ          ไม่ต้องมากมาย
ตำพริกกับกระเทียม      ให้ยอดเยี่ยมกลิ่นอาย
มะนาวน้ำปลาน้ำตาลทราย     น้ำตาลปี๊บถ้ามี

ปรุงรสให้เยี่ยมหนอ       ใส่มะละกอลงไป
อ้ออย่าลืมใส่                กุ้งแห้งป่นของดี
มะเขือเทศเร็วเข้า          ถั่วฝักยาวเร็วรี่
เสร็จสรรพแล้วซี            ยกออกจากครัว

กินกับข้าวเหนียว           เที่ยวแจกให้ทั่ว
กลิ่นหอมยวนยั่ว            น่าน้ำลายไหล
จดตำราจำ                   ส้มตำลาวเอาตำรามา
ใครหม่ำเกินอัตรา           ระวังท้องจะพัง

ขอแถมอีกนิด                แล้วจะติดใจใหญ่
ไก่ย่างด้วยเป็นไร           อร่อยแน่จริงเอย"

แม่ครัวบ้านผู้เขียน (วิลาศ  มณีวัตได้ฟังเพลงนี้แล้วก็อด
วิจารณ์ในฐานะผู้ชำนาญการทำส้มตำไม่ได้ว่า
"ตอนที่มันสนุกถึงใจนะเจ้าคะ ... ก็ตอนที่ร้องว่า 'สับสับ  เฉาะเฉาะ' นั่นแหละ ...
มองเห็นภาพกำลังปรุงส้มตำจริง ๆ เลย ..."

เพลงนี้ปรากฎว่าแพร่หลายออกไปอย่างรวดเร็วจนบริษัทสร้างภาพยนตร์รายหนึ่ง
ได้ทูลขอพระราชทานอนุญาตนำเอามาตั้งเป็นชื่อเรื่องภาพยนตร์เรื่องใหม่คือเรื่อง "ส้มตำ"

การแต่งเพลงจึงกลายเป็นความสนุกอีกอย่างหนึ่งของพระองค์  ต่อมาในขณะประทับเครื่องบิน
ออกจากไทยไปอิหร่าน  ก็ได้ทรงแต่งเพลงปลาทองเถา

ยามเสด็จไปพักผ่อนหน้าร้อนริมทะเลที่หัวหิน  เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๐  ก็ได้มาอีกเพลง  ชื่อ
"อกทะเล"  มีเนื้อร้องว่าดังนี้

"นี่ก็ล่วงเวลาเห็นช้าแล้ว
พระจันทร์แคล้วหลบลี้หนีหน้าหาย
ได้ฟังเพลงร้องเล่นเย็นใจกาย
เย็นพระพายพัดเอื่อยเรื่อยเรื่อยเรียง

ได้อยู่ใกล้ใจคลายทุกข์เป็นสุขศรี
จนดนตรีที่ได้ยินจะสิ้นเสียง
ตัวจากไปใจยังอยู่เป็นคู่เคียง
คอยมองเมียงพบกันวันหน้าเอย"
............................
เพื่อนผมเคยเล่าให้ฟังว่า สักประมาณ 20 ปีที่แล้ว ขณะที่เขากำลังเดินดูหนังสือใน ร้านหนังสือดวงกมล สยามแสควร์ ก็มีนิสิตหญิงจุฬาสองสามคน เดินเข้ามาในร้าน นิสิตคนหนึ่งใบหน้า สวยคม จัดว่าสวยน่ารัก แต่ใบหน้าดูคุ้นเหลือเกิน ทันใดเขาก็เห็นคนเริ่มไหว้บ้าง 

ค้อมศรีษะบ้าง ให้แก่นิสิตคนนั้น แต่ก็มีเสียงเอ่ยขึ้นมาอย่างเกรงใจจากนิสิตคนนั้นว่า
"
ไม่เป็นไรค่ะขอบคุณค่ะ วันนี้เป็นนิสิต มาหาซื้อหนังสือ เชิญทุกท่านตามสบายค่ะ"

ทุกคำที่เอ่ยจะมีคำว่า "ค่ะ" ตลอด แล้วก็หันไปยิ้มแบบเขิน ๆ กับเพื่อนทีมาด้วย

กริยาช่างงามน่ารักเหลือเกิน เพื่อนผมย้ำ

ทันใดนิสิตกลุ่มนั้นก็หันไปเห็นผู้อาวุโสท่านหนึ่งกำลังเดินดูหนังสืออยู่ ในร้านเหมือนกัน จึงเดินเข้าไปหาพร้อมยกมือไหว้ผู้อาวุโสท่านนั้น และนิสิตท่านก็เป็นผู้เอ่ยทักว่า "สวัสดีค่ะ อาจารย์ มาหาซื้อหนังสือเหรอคะ" ทันใด ท่านอาวุโสก็สะดุ้ง กำลังจะก้มและย่อตัวลงในท่าทำความเคารพ แต่ความที่อยู่ในวัยชราจึงไม่ค่อยถนัด พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า

"อ้าว องค์หญิง กระหม่อมมาหาซื้อหนังสือ พะยะค่ะ" ในตอนนั้นเพื่อนผมก็จำได้ขึ้นมาว่านิสิตท่านนั้นก็คือ สมเด็จพระเทพฯ นั่นเอง ในตอนนั้นพระเทพก็ทรงเข้ามาประคอง อาจารย์ท่านนั้น พร้อมกับรับสั่ง 

"ไม่เป็นไรค่ะ อาจารย์ หนูกับเพื่อน มาหาซื้อหนังสือเหมือนกัน ค่ะ"

เพื่อนผม บอกว่า ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมรัก และเทอดทูนเจ้าหญิงองค์น้อยเสมอมา ด้วยความที่ท่านไม่ทรงถือพระองค์ ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์

ผมเคยอ่านจากหนังสือสกุลไทย ช่วงตอบปัญหาของใครจำไม่ได้แล้ว มีคนเขียนไปถามเจ้าของคอลัมภ์ว่าจริงหรือเปล่าที พระองค์เคยเสด็จเป็นการส่วนพระองค์ยังเมืองทองธานี เพื่อเสวยร้านอาหารโต้รุ่ง ก็มีคำตอบว่าจริง พระองค์เคยเสด็จอย่างส่วนพระองค์จริงๆกับ คุณข้าหลวงอีก 2 คนไม่มีองครักษ์ติดตาม คือเสด็จยังร้านอาหารตามสั่งทั่วไปริมถนน 

ตอนแรกไม่มีใครจำพระองค์ได้เลย แต่มี 2 สามีภรรยาคู่หนึ่งเห็นเข้า ฝ่ายสามีบอกว่าไม่ใช่

สมเด็จพระเทพหรอกเพราะนี่คือร้านอาหารโต้รุ่งแล้วก็ดึก มาก แล้วด้วย แต่ฝ่ายภรรยาบอกว่าเหมือนมากก็โต้กันไปโต้กันมา จนพระองค์ทรงได้ยินจึงหันพระพักตร์มาทาง 2 สามีภรรยานี้แล้วตรัสว่า

"ใช่ แต่ขอให้ทำตัวตาม สบาย" เท่านั้นแหละครับ 2 คนนี้ก็ก้มลงกราบจนคนอื่นๆแปลกใจ ก็หันมามองกันหมดทั้งร้าน เจ้าของร้านกับเด็กเสริฟก็เพิ่งทราบ จึงรีบเข้าไปถวายความเคารพ พวกพ่อค้าแม่ค้าแถวนั้น ก็นำอาหารของร้านตนมาถวาย จนกระทั่งเสด็จกลับไป นี่แหละครับเจ้าหญิงในใจประชาชนพระองค์จริงๆ จำได้ว่าตอนที่พระองค์ท่านเสด็จในงาน concert กาชาดหลายปีแล้วแล้วพระองค์ท่านทรงเป่า trumpet เพลงคู่กัด พอท่านทรงเป่าจบ คนดูก็ตบมือท่านก็ทรงรับสั่งว่า " แปลกจังทำไมไม่มีเสียงกรี๊ดเลย" 

คนดูก็เงียบกริบ... คงตะลึงมั้งท่านก็รับสั่งย้ำอีกครั้งเท่านั้นแหล่ะ..คนดูกรี๊ดถล่ม ผมเคยเข้าไปเล่นคอนเสิร์ตหน้าพระที่นั่งศาลาดุสิตาลัย เมื่อสิบห้าปีก่อน พระเทพทรงประชวรหวัดเล็กน้อยแต่ก็ตรัสก่อนพวกผมเล่นกันว่า
"
วันนี้ไม่มีเสียงกรี๊ดนะเป็นหวัด" พอตอนเล่น ผมเลยบังอาจถวายแซวพระองค์ท่านว่า

"ในฐานะรุ่นน้องจุฬาฯ ขอพระราชทานอนุญาต เอ่ยพระนามพระองค์ว่า พี่น้อยก็แล้วกันวันนี้ขอให้พี่น้อย หายหวัดเร็วๆ นะครับ" คนดูในศาลาดุสิตาลัยเงียบกริบ

ผมก็ชักหนาวสันหลังว่า เหิมเกริมไปหรือเปล่า เพื่อนร่วมวงรีบชิงพูดต่อว่า

มหาดเล็กครับ ช่วยยิงให้ถูกคนด้วยแล้วกัน คนเลยฮากันตึง รอดไป

มีเพลงหนึ่งชื่อเพลงกล้วยไข่ ผมก็แปลงเป็นว่า แปลกใจจริงพระเทพฯชอบอะไรพระเทพชอบกล้วยไข่ เพราะว่าพระองค์ทรงโปรด ลัล ลัล ลัล ลา ตอนไปรับพระราชทานดอกไม้จากพระหัตถ์ผมไปยกมือไหว้ท่าน ท่านก็ตรัสย้อนผมว่า "ใครเค้าไหว้กัน เค้าโค้งจ้ะ" จากนั้นท่านก็ตรัสว่า

"ใครบอกฉันชอบกล้วยไข่ ฉันชอบกล้วยน้ำว่าย่ะ" ผมไม่เคยลืมสักภาพเดียวเลยครับ ตอนเป็นนักเรียนแถวสามย่านพระองค์ ท่านเป็นนิสิตแล้ว เคยแอบไปเดิน
"
ส่อง" รถพระที่นั่งซึ่งจอดอยู่หน้าหอประชุมจุฬาเห็นมีขนมขบเคี้ยวสารพัดใส่โหลเอาไว้

2-3
โหล ทุกวัน ตลอด 4 ปีที่ทรงศึกษาอยู่ ผู้คนที่ต้องผ่านสัญจรแถวนั้นไม่เคยต้องเดือดร้อนกับการกั้นรถขบวนเป็นชั่วโมงๆ เพียงรถพระที่นั่ง 1 คันกับรถตำรวจนำอีก 1 ที่ไม่เคยเปิดไซเรน ไม่เคยเปิดโทรโข่ง ไม่เคยฝ่าไฟแดง เห็นพวกนักการเมือง มีตำรวจนำตำรวจตาม วิ่งย้อนศร กั้นรถให้แซงลัดคิวแล้วนึกถึงสิ่งที่พระองค์ปฏิบัติทุกครั้ง
.........................................
เรื่องเหล่านี้ผมไปคัดมาจากเว็บพันทิปครับ เป็นเรื่องราวที่ได้อ่านแล้วจะรู้สึกอิ่มเอิบใจเป็นอย่างมากเลยหละครับ
มีอีกครั้งนึงท่านทรงเดินจากวังสระประทุมไปสยามดีสคอฟเวอรรี่ ก็มีผู้ตามเสด็จอีก 1-2 คนนี่แหละ แต่ตำรวจที่กั้นรถแถวนั้นบอกว่า ยังไปไม่ได้ มีขบวนเสด็จฯมจ.หญิงสิริวัณวรี ท่านเลยบอกตำรวจว่า "หลานชั้นเอง" ตำรวจเลยรีบถวายความเคารพและทูลเชิญเสด็จแทบไม่ทัน
เพิ่งผ่านมาเมื่ออาทิตย์ก่อนเอง จริงๆไม่ค่อยอยากเล่าในพันทิปเท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่าเรื่องนี้มันค่อนข้างส่วนตัวและเป็นความประทับใจที่เราจะไม่มีวันลืมเลย

วันนั้นพระองค์ท่านก็เสด็จร้านหนังสือที่สยามพารากอน เราเห็นพระองค์ท่านเดินขึ้นบันไดเลื่อนไป ชนิดที่ว่า คนที่อยู่ข้างบนท่าน(Banned)งกันแค่สามขั้นเท่านั้น ไม่มีการกั้นอะไรเลย เราก็เห็นอาจารย์ท่านหนึ่งที่เรารู้จักตามเสด็จด้วย อาจารย์ท่านนี้เป็นพระสหายร่วมรุ่นกับพระองค์ท่านที่อักษร จุฬาฯ และปัจจุบันก็ทำงานถวายท่านอยู่ในวัง

ก่อนหน้านี้เราเคยเฝ้าท่านที่ทำเนียบท่านทูตในลอนดอนตอนเสด็จมาทรงดนตรีที่ SOAS ท่านก็ได้พระราชทานพระราชวโรกาศให้นร.ทุนอานันท์ที่อยู่ที่อังกฤษเข้าเฝ้าด้วย ท่านทรงเป็นกันเองมากค่ะ ทรงซักถามว่าเรียนเป็นอย่างไร ใช้ชีวิตอย่างไร ฯลฯ ซึ่งตอนนั้นนร.ทุนทุกคนต่างก็รู้สึกปลื้มปีติที่ได้เข้าเฝ้าท่านอย่างใกล้ชิด

แล้วเดือนเมษาเราก็กลับมาเยี่ยมบ้าน จนก่อนกลับวันหนึ่งก็วันนั้นได้เห็นท่านเสด็จฯขึ้นบันไดเลื่อนไปอย่างที่เล่าไปข้างต้น แล้วก็เดินไปมาบุญครองเพื่อไปรับมือถือที่เอาไปซ่อม ตอนเดินกลับจากมาบุญครองไปพารากอน (จอดรถไว้ที่นั่น) เราก็แอบสังหรณ์ใจว่าวันนี้อาจจะได้เข้าเฝ้า พอเดินมาถึงช่วงลานระหว่างสยามเซ็นเตอร์กับพารากอน เราก็เห็นขบวนของพระองค์ท่านสวนมาพอดี ตอนนั้นเรายกมือไหว้อาจารย์ที่เรารู้จักซึ่งเดินตามเสด็จอยู่ อาจารย์เห็นเราเลยกวักมือให้เข้ามา แล้วให้องครักษ์ (หรือมหาดเล็ก?) เข้าไปทูลท่านให้ทรงหยุดก่อน ตอนนั้นรู้สึกแผ่นดินมันยวบลงทันที ถึงเราจะเคยเข้าเฝ้ามาก่อนหลายครั้ง แต่ไม่เคยเฝ้ากลางที่สาธารณะโดยไม่เคยได้มีหมายกำหนดการออกมาก่อน พอคุมสติได้ ก็เดินไป แล้วถอนสายบัว

พระองค์ท่านก็ทรงถามว่า กลับมาเยี่ยมบ้านหรือ เรื่องเรียนสันสกฤตไปถึงไหนแล้ว งานวิจัยที่ทำอยู่ถึงไหน เรียกได้ว่า พระองค์ทรงจำได้หมดว่านร.ทุนคนไหนทำอะไรอยู่ แล้วเคยทูลอะไรท่านไปบ้าง เราก็พยายามตั้งใจตอบอย่างเต็มที่ ตอนนั้นไม่รู้เลยว่าคนที่มาห้างทุกคนหยุดกันหมดแล้วหันมามอง แถมตรงลานนั้น ยังมีงาน event ของ panasonic ที่เป็นธีมบอลโลก คนเลยเยอะ แต่พอท่านเสด็จมา ก็ไม่มีเสียงอะไรจากพิธีกรงานนั้นเลย

หลังจากมีพระราชปฏิสันถารได้สักครู่ พระองค์ท่านก็เสด็จฯกลับ เราหันมาอีกทีก็เพิ่งรู้ว่าตกเป็นเป้าสายตา มือยังเปียกๆสั่นๆด้วยความตื่นเต้น เราไม่เคยคิดมาก่อนว่าเราเป็นคนสำคัญหรือยิ่งใหญ่มาจากไหน เป็นแค่นร.คนหนึ่งที่โชคดีได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ไม่เคยคิดเลยว่าท่านจะทรงหยุดเพียงเพื่อถามเราว่าเราเป็นอย่างไรบ้าง เรียนเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งท่านจะทรงผ่านไปเลยก็ได้ ความเป็นกันเองของพระองค์ท่านครั้งนี้ทำให้เรารู้สึกเสมอว่าเราจะต้องตั้งใจให้มากขึ้น สมกับที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ
ที่พิมพ์มานี่ไม่ได้ตั้งใจจะอวดหรืออะไรเลยนะคะ แค่อยากจะบอกว่าพระองค์ท่านไม่ทรงถือพระองค์เลย และใส่พระทัยในพระราชกรณียกิจเสมอ พระจริยวัตรเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้เราอยากทำดีค่ะ
.................................
ก่อนอื่นต้องบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกนะครับผม ... เล่าให้ใครฟังก็มีแต่คนตลกตัวผมเหลือเกิน -*- คือวันนั้นผมยืนรอรถเมล์อยู่ฝั่งตรงข้ามสนามกีฬาแห่งชาติ คิดภาพออกมะครับ หน้าเซเว่นหน่ะครับ ขณะผมยืนอยู่กับเพื่อน ผมก็เห็นกลุ่มคนกลุ่มนึงเดินมา ... คาดว่าเดินมาจากทางบ้านจิม ทอมสัน ผมก็สงสัยว่าทำไมแม่ค้าแถวนั้นเค้านั่งลงกับพื้น ... ผมกับเพื่อนสายตาสั้นอ่ะครับ ... แถมกลางคืนด้วย มองไม่ค่อยชัด พอกลุ่มคน กลุ่มนั้นเดือนเข้ามาใกล้ จึงเห็นว่าเป็นสมเด็จพระเทพฯที่ทรงเสด็จมา บางคนที่รอรถเมล์ก็ไม่รู้เรื่อง เดินผ่านจนเกือบชนท่านก็มี ... ผมตกใจมากเลยครับ ทำอะไรไม่ถูกเลย ยืน(Banned)งท่านเพียงแค่ ไม่ถึงเมตร พอท่านเดินเข้ามาในระยะประชิด ผมตกใจมากคิดอะไรไม่ออก พูดออกไปเสียงดังฟังชัด ตอนท่านอยู่ข้างหน้าว่า ... "พระเทพฯ สวัสดีครับ" ท่านทรงหยุดนิดนึง พร้อมกับทรงยิ้มให้ (ผู้เสด็จตามก็ทำหน้าขำๆผม) แล้วท่านก็เสด็จไป ปล่อยให้ผมยืนอึ้ง และงงกับตัวเองที่บังอาจพูดอะไรออกมา ... (ก็ผมตกใจนี่ครับ) แล้วท่านก็เสด็จพระราชดำเนินไปบนสะพานลอยของบีทีเอส ... ชอทนี้อึ้งกว่าครับ ... คนที่เดินลงมาได้เบียดกับท่านเลยครับ เพราะว่าคนเยอะมากๆ ผมเห็นคนนั่งลงไหว้กับท่านตามขั้นบันไดเต็มไปหมดเลย ท่านทรงไม่ถือพระองค์จริงๆ ... หลังจากท่านลับตาไป ผมก็โทรหาแม่ขณะเสียงสั่นๆแบบนั้นแหล่ะครับ คุณแม่ผมก็ตลกผม แล้วก็บอกว่า "คิดยังไงอ่ะ พูดกับท่านไปแบบนั้น" ก็คนมันตกใจควบคุมสติไม่อยู่นี่ครับ ไม่คิดว่าจะได้เข้าเฝ้าแบบไม่เป็นทางการ ปลื้มใจจนทุกวันนี้ครับ
.........................................
บ่ายวันนั้น ผมพาฝรั่งลูกทัวร์ห้าคนขึ้นไปชมภูเขาทองวัดสระเกศ ช่วงขาเดินลง ผมก็สนทนาปราสัยกับลูกทัวร์ไปเรื่อยเปื่อยตามอาชีพมัคคุเทสก์โดยไม่สนว่าใครจะเดินผ่านไปมา ประจวบก็บันไดที่คดโค้งบนภูเขาทอง ผมก็ไม่ใคร่จะใส่ใจว่าใครเดินไปมา กว่าจะรู้ตัวก็ตอนเดินเข้ามาใกล้ๆ กันนั่นแหละ และในช่วงระหว่างครึ่งทาง ผมเกือบจะเดินสวนกับกลุ่มคนสี่ห้าคนที่กำลังเดินขึ้นมา พอหันไปมองช่วงใกล้ๆ จะจวนตัวนั่นแหละ.......ผมถึงได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์ท่าน คือสมเด็จพระเทพฯ ....ตอนแรกก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก เพราะผิวพระองค์ออกจะคล้ำๆ นิดหนึ่ง ประจวบกับชุดที่พระองค์ทรงอยู่ก็เหมือนคนทั่วๆ ไปธรรมดา เนื่องเพราะไม่เคยเห็นหรือเข้าเฝ้าเจ้าฟ้าเจ้านายกับเขาในชีวิต ทำให้ผมนึกไปว่าเจ้าฟ้าเจ้านายคงมีผิวพรรณที่ขาวและสะอาดสะอ้าน......พอได้เห็นพระองค์ท่านจริงๆ ...ผมลังเลนิดหนึ่งว่าใช่ไม่ใช่?? ก็ต่อเมื่อเห็นองค์รักษ์สองคนที่ถือwalkie talkie อยู่นั่นแหละ ผมก็มั่นใจ.....ประจวบกับพระองค์ทรงหยุดมาถามผมนั่นแหละว่าเป็นมัคคุเทสก์พาฝรั่งเที่ยวหรือ??......ผมสั่นเลยครับ สั่นมากเลยล่ะ....ฝรั่งลูกทัวร์ออกอาการงง ที่ผมหยุดและทำท่านอบน้อม ตอนนั้นย่อตัวแทบนั่งกับขั้นบันไดบนภูเขาทอง......ราชาศัพท์ก็ไม่รู้เรื่อง....สั่นไปหมด สุดท้ายก็หลุดปากไปภาษาที่คิดว่าสุภาพที่สุดครับ "ขอรับกระผม" พระองค์ตรัสถามฝรั่งลูกทัวร์ผมเป็นภาษาอังกฤษสั้น "Is he a good guide?" ลูกทัวร์ซึ่งไม่รู้ว่าพระองค์เป็นใครก็พยักหน้าตอบ "Yes".....จากนั้นพระองค์ก็เสด็จขึ้นบนภูเขาทองต่อ.....คล้อยหลัง ฝรั่งลูกทัวร์ถามผมว่าพระองค์เป็นใคร ผมตอบสั้นๆ (ตอนนั้นยังตื่นเต้นอยู่ แม้ขณะเขียนอยู่ตอนนี้ก็สามารถจับความรู้สึกตื่นเต้นตอนนั้นได้) she is a princess. ฝรั่งลูกทัวร์ส่ายหัวไม่เชื่อ You must be joking. เขาคิดว่าผมกำลังพูดเล่น (อาจจะเนื่องด้วยที่ชุดที่พระองค์ทรงอยู่ ดูเหมือนคนทั่วไปธรรมดา มาก) .....เพราะรู้สึกภูมิใจและรู้สึกว่า "ยังไม่พอ" ที่ได้เห็นพระองค์ท่านในสถานการณ์ที่ไม่มีพิธีรีตองอะไรอย่างนี้ ผมจึงชวนฝรั่งลูกทัวร์ขึ้นเดินย้อนกลับขึ้นไปบนภูเขาทองอีกครั้งเพื่อพิสูจน์ .....ตอนนั้นผมนึกไว้ในใจแล้วว่า นักท่องเที่ยวคนไทยที่อยู่บนภูเขาทองเห็นพระองค์ท่านเข้า อย่างน้อยๆ ก็คงต้องทำความเคารพ.....จริงดั่งคาด เมื่อพวกเราย้อนกลับขึ้นไปข้างบนภูเขาทอง เหล่าคนไทยที่อยู่บนภูเขาทองต่างก็นั่งบนพื้นแสดงความเคารพต่อพระองค์ ฝรั่งลูกทัวร์ผมถึงบางอ้อตรงนั้น.......และช่วงขาลงจากภูเขาทอง ผมก็ได้บรรยายพระเกียรติคุณของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาให้ฝรั่งลูกทัวร์ฟังด้วยความปลื้มปิติ
...........................................

2 ความคิดเห็น: